เพราะเราต่างงดงามในแบบตัวเอง
รวม 5 วิธีในการเปลี่ยน Mindset จาก“การคุมอาหาร” สู่ “การรักร่างกายตัวเอง” #loveyourbody

เราอยู่ในโลกที่หมกมุ่นอยู่กับน้ำหนักและขนาดร่างกาย มีการควบคุมอาหาร อาหารเสริมลดน้ำหนัก และโปรแกรมควบคุมอาหารหลายพันรายการที่ประกาศว่าช่วยเราลดน้ำหนัก
แต่ในทางสถิติกลับแสดงเราเห็นว่า จำนวนของคนที่น้ำหนักเกินกำลังเพิ่มมากขึ้นทุกวัน และนักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆ เห็นพ้องกันว่าอัตราความสำเร็จในระยะยาวของการควบคุมอาหารเป็นเรื่องที่น่าหดหู่ โดยที่หลายคนมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นตามเดิม และมักจะเพิ่มมากขึ้นอีก
การวิ่งบนลู่วิ่งด้วย Mindset แบบนี้มีเส้นบางๆระหว่างการนำพาตัวเองเข้าสู่ “การมีสุขภาวะที่ดี (Well-being)” หรือ “การมีสุขภาพร่างกายที่ย่ำแย่”
ในขณะที่หลายคนถือเอาความสำเร็จของร่างกายไปไว้ที่ “Size” กับ “สุขภาพ” (และความสุข) นั่นเป็นการประเมินที่ไม่ถูกต้อง เพราะแม้จะมีการศึกษาในเรื่องน้ำหนักตัวที่มากขึ้นอย่างต่อเนื่องในงานวิจัยและการแพทย์ แต่การศึกษาในปัจจุบันแสดงให้เห็นว่า การลดน้ำหนัก การอดอาหาร และการเกิดโยโย่ เป็นอันตรายต่อสุขภาพของบุคคลมากกว่าน้ำหนักตัว จะเป็นอย่างไรถ้าปัญหาของเราไม่ใช่น้ำหนัก แต่เป็นความสัมพันธ์ของเรากับน้ำหนักและร่างกายของตัวเรา

Jacob Lund
ทำไมการอดอาหารถึงไม่ยั่งยืน?
เมื่อเราได้รับการสอนให้ไม่ชอบในร่างกายของตัวเอง เราอาจอ่อนไหวต่อทัศนคติและพฤติกรรมที่เป็นอันตรายอื่นๆ ยกตัวอย่างเช่น
1. การอดอาหาร
การอดอาหาร ที่ทำให้เราต้องลองแล้วลองอีก ในงานวิจัยเห็นได้ชัดว่าการอดอาหารเพื่อลดน้ำหนักไม่ได้ผล ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าเราไม่ได้ลองทานอาหารที่ “ถูกต้อง” หรือว่าเรามีวินัยไม่เพียงพอ มันคือ โปรแกรมอดอาหารทั้งหมดถูกออกแบบมาให้ล้มเหลว เมื่อการรับประทานอาหาร (จากโปรแกรมอดอาหาร) ของเราไม่ยั่งยืนในระยะยาว เราจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้ไม่ช้าก็เร็ว การใช้พลังใจเพื่อกีดกันตัวเองอย่างต่อเนื่องมีข้อจำกัดที่ร้ายแรง และจะหมดไปจากการใช้มากเกินไป
2. การแหกกฎ
การแหกกฎ ด้วยข้อจำกัดที่เราพบขณะอดอาหาร มักเรานำไปสู่การกินมากเกินไปและเกินพอดี เมื่อไหร่ก็ตามที่เราจำกัดอาหาร นั่นเพราะเรามีความอยากกิน ร่างกายของเราไม่เพียงต้องการการบำรุงเท่านั้น แต่อาหารที่เราห้ามจะดูน่าดึงดูดยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อเราบอกตัวเองอยู่เสมอว่า “อย่ากินสิ่งนั้น” เราก็จะแหกกฎในที่สุด เมื่อเราแหกกฎ คุณจะโยนกฎออกไปและกินทุกอย่างที่เราต้องการและกินให้หมด จนเรารู้สึกอิ่มมากเกินไป และบางทีอาจถึงขั้นป่วยด้วย
3. การพูดกับตัวเองเชิงลบ
การพูดกับตัวเองเชิงลบ เมื่อความรู้สึกมีค่าของตัวเราไปผูกติดอยู่กับตัวเลขบนตาชั่ง เราต้องบอกตัวเองอยู่เสมอว่า “นี่ยังไม่พอสำหรับเรา” เว้นแต่เราจะได้อยู่บนตัวเลขวิเศษที่เราได้กำหนดไว้ล่วงหน้า จากประสบการณ์ส่วนตัวของผู้เขียน เมื่อเราอดอหารจนถึงตัวเลขวิเศษที่ตั้งใจไว้ เรามีความสุขเพียงวินาทีเดียว — และความคิดต่อไปคือ “เราต้องคุมอาหารต่อไปเพื่อให้น้ำหนักคงที่” หรือ “เราควรมีน้ำหนักที่น้อยกว่านี้”
4. ขาดความรักในตัวเอง
การอดอาหาร การแหกกฎ และการพูดถึงตัวเองในแง่ลบทั้งหมด มักจบลงด้วยเรามีความรักที่ไม่เพียงพอ และมันไม่ใช่ความผิดของเรา เราตกอยู่ในสภาพนี้จากวัฒนธรรมของ ภาพยนตร์ โทรทัศน์ โซเชียลมีเดีย การโฆษณา และอื่นๆ ของรอบตัวเรา ถ้าเราตระหนักได้ว่า ตัวเราเองก็คู่ควรกับการได้รับความรักและความเมตตาในแบบที่เราเป็น เราจะไม่ซื้อของเพื่อทำให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น วัฒนธรรมผู้บริโภคส่วนใหญ่ขึ้นมักขึ้นอยู่กับความรู้สึกไม่ดีต่อตัวเอง
5. การยอมแพ้
ในท้ายที่สุด เรารู้สึกอยากยอมแพ้ และมันก็ทำได้ เรายอมแพ้ต่อมิชชั่นสุขภาพ (ที่ไม่ดี) ของเรา เพราะเราไม่สามารถควบคุมอาหารมื้อสุดท้ายได้สำเร็จ แน่นอน ไม่นานนักหลังจากที่เราทานอาหารมื้อที่แสนอร่อยและชุ่มน้ำมันมามากพอ และเราจะกลับไปที่ข้อ 1 อีกครั้ง กลับไปที่วัฏจักรของการอดอาหาร การอดอาหาร และการเลิกกินแบบไม่มีที่สิ้นสุดนี้

5 วิธีในการรักร่างกายตัวเองไปกับ
“Mindful eating”
Simplee Organic อีกขอนำข่าวดีมามอบให้เพื่อนๆในวันวาเลนไทนต์นี้ แทนที่จะโฟกัสอยู่ที่ตัวเลขบนตาชั่ง เราได้นำทัศนคติที่เมตตาต่อตัวเองและเป็นมิตรกับร่างกายมากขึ้น สามารถพบได้ผ่านการฝึกสมาธิในทุกวัน สิ่งนี้อาจจะแตกต่างกันเล็กน้อยในแต่ละบุคคล และเพื่อนๆ สามารถทดลองเพื่อค้นหาว่าอะไรช่วยให้ร่างกายและจิตใจของเรารู้สึกดีที่สุด
“Mindful eating” นี่แนวทางการกินที่เมตตาต่อร่างกายและจิตใจของคุณ:
เข้าไปรู้จักการฝึกสติแบบ Mindful ได้มากขึ้นที่นี่
แทนที่จะโฟกัสอยู่ที่ตัวเลขบนตาชั่ง ทัศนคติที่เมตตาต่อตนเองและเป็นมิตรกับร่างกาย
สามารถค้นพบได้ผ่านการฝึกสมาธิในทุกวัน

1. สำรวจการกินอย่างมีสติ
ยาแก้พิษในการอดอาหารคือการกินอย่างมีสติ การกินอย่างมีสติไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับตัวเลขบนตาชั่ง เป็นการรับประทานอาหารที่น่าสนใจและดีใจต่อร่างกาย โดยเราจะแนะนำให้เพื่อนๆ สังเกตุร่างกายของตัวเองว่าต้องกินอะไร เมื่อไหร่ อย่างไร และทำไม การกินอย่างมีสติจะสอนให้เราใส่ใจกับร่างกายทั้งก่อน ระหว่าง และหลังรับประทานอาหาร เพื่อให้เพื่อนๆ สามารถเพลิดเพลินกับการรับประทานอาหารและรสชาติทุกมิติ
Try It:
แนวทางการปฏิบัติเบื้องต้นเกี่ยวกับการรับประทานแบบ “Mindful Eating” คือเราต้องหายใจและสำรวจท้องก่อนรับประทานอาหาร, ทำการประเมินอาหารของเรา, ทำทุกอย่างให้ช้าลง, ตรวจสอบความหิวของเราตลอดมื้ออาหาร, เคี้ยวให้ละเอียด และลิ้มรสอาหารของเรา ให้ใช้ในทุกครั้งที่เรารับประทานอาหารหรือของว่าง และมาค้นพบสิ่งใหม่ในทุกครั้งที่เรากินไปด้วยกัน

2. ขอบคุณ
สิ่งหนึ่งที่ง่ายที่สุดที่คุณสามารถทำได้คือ เริ่มฝึกขอบคุณร่างกายและสิ่งที่ทำเพื่อเราทุกวัน สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการย้ายจากมุมมองที่มองว่าร่างกายเป็นเครื่องประดับภายนอง ไปสู่มุมมองของเครื่องมือ กลไกภายในร่างกายของเรา
หรือพูดง่ายๆ คือ การย้ายจากการมุ่งโฟกัสไปที่ "รูปร่างหรือความน่าดึงดูดใจ" เป็น "การทำงานของร่างกาย" การเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ร่างกายทำเพื่อเรานั้นจะทำให้เราการประเมินร่างกายของตัวเองในเชิงบวกมากขึ้น
Try It:
ทุกเช้าเมื่อเพื่อนๆ ตื่นขึ้น ให้เริ่มต้นด้วยการกล่าวขอบคุณต่อส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น หัวใจ ปอด ท้อง ขา แขน ตา หู ผู้เขียนชอบขอบคุณการหายใจของร่างกายเป็นพิเศษ เป็นสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นทุกขณะโดยที่เราไม่ต้องไปภวังค์อะไรกับมัน กลับทำให้เรามีชีวิตอยู่ การสละเวลาชั่วครู่เพื่อหยุดและขอบคุณสำหรับการทำงานที่น่าอัศจรรย์ของร่างกายสามารถเปลี่ยนเราไปสู่ทัศนคติที่ต่างออกไป

3. ตอบสนองต่อความต้องการของร่างกาย
หลายคนมักไม่ใส่ใจกับสิ่งที่ร่างกายต้องการจนกว่าร่างกายจะเริ่มทรุดโทรม จะเป็นยังไงถ้าเราฟังและตอบสนองต่อร่างกายตลอดทั้งวัน ร่างกายของเราแสดงสัญญาณบ่งบอกถึงความต้องการอาหาร น้ำ การพักผ่อน การนอนหลับ การเคลื่อนไหว การเชื่อมต่อ ความคิดสร้างสรรค์ ความรัก และอื่นๆ อีกมาก
เราตอบสนองต่อร่างกายได้ดีเแค่ไหนเมื่อมันบอกว่าต้องการอาหารหรือไม่ต้องการอาหารเพิ่ม เมื่อเราร่วมมือกับร่างกายของเรา โดยตอบสนองต่อความต้องการของร่างกาย เราจะรู้สึกว่าร่างกายมีชีวิตชีวาขึ้นด้วยพลังชีวิตที่มากขึ้น
เมื่อเราร่วมมือกับร่างกายของเรา โดยตอบสนองต่อความต้องการของร่างกาย เราจะรู้สึกว่าร่างกายมีชีวิตชีวาขึ้นด้วยพลังชีวิตที่มากขึ้น
Try It:
พักร่างกายสั้นๆ ทุกๆ ชั่วโมงแล้วฟังสิ่งที่ร่างกายพูด ตอบสนองต่อสัญญาณเล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้นให้ดีที่สุดและเริ่มสร้างมิตรภาพที่ดีกับร่างกายตัวเอง

4. พูดคุยกับตัวเองด้วยความเห็นอกเห็นใจ
เราตอบสนองต่อคำวิจารณ์ หรือความเห็นอกเห็นใจและความเข้าใจได้ดีขึ้นไหม เมื่อเราถูกวิพากษ์วิจารณ์ ผู้คนมักจะปิดตัวลงและกระทั่งมีส่วนร่วมในพฤติกรรมทำลายล้าง อย่างไรก็ตาม เมื่อเราเข้าใจและชื่นชมแล้ว อารมณ์เชิงบวกของเราสามารถช่วยให้เรามีส่วนร่วมในพฤติกรรมที่สร้างสรรค์ ซึ่งช่วยให้เราเจริญรุ่งเรืองได้
ตัวอย่างเช่น
ถ้าเพื่อนๆ เผลอกินมากเกินไป แทนที่จะลงโทษตัวเองด้วยการนอยด์ และจบที่การอดอาหาร เพื่อนๆ สามารถบอกตัวเองว่า “ไม่เป็นไร เราจะรู้สึกดีขึ้นในไม่ช้า บางทีคราวหน้ากินคุกกี้หนึ่งชิ้นแทนที่จะเป็นสามชิ้น” แทน
Try It:
ในครั้งหน้า ถ้าเพื่อนๆ สังเกตเห็นว่าตัวเองกำลังตัดสินตัวเองจากเรื่องอาหารหรือรูปร่าง ให้เปลี่ยนการสนทนาเป็นการสนทนาที่มีเมตตาและเป็นมิตร ให้ลองนึกถึงสิ่งที่เราจะพูดกับเพื่อนสนิทในสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกันก็ได้

5. เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดกับตัวเอง
นอกจากการพูดคุยกับตัวเองอย่างเมตตาและเป็นมิตรแล้ว ยังมีวิธีอื่นๆ อีกมากในการผูกมิตรกับร่างกายของตัวเอง แทนที่จะคิดเสมอว่าเราต้องมีคนอื่นอยู่ใกล้ๆ เพื่อสร้างมิตรภาพอันเปี่ยมด้วยความรัก เราสามารถเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดให้กับตัวเองได้โดยทำกิจกรรมที่ทำให้ตัวเราและร่างกายมีพลังงานและผ่อนคลาย ร่างกายย่อมต้องการทั้งกิจกรรมที่กระฉับกระเฉงและการพักผ่อนอย่างเต็มที่เสมอ
Try It:
วางแผนกิจกรรมที่จะปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างตัวเรากับร่างกาย ตัวอย่างเช่น การเดินเล่นไปรอบๆ ละแวกบ้าน การเล่นดนตรีและเต้นรำ จุดเทียนและนั่งสมาธิสัก 2-3 นาที หรือฝึกโยคะสัก 2-3 ท่า สุดท้าย มองตัวเองในกระจกแล้วลองกล่าวทักทายตัวเอง อย่าง "สวัสดีเพื่อน" ยิ้มให้กับคนที่เราเห็นและยินดีกับช่วงเวลาแห่งการมีชีวิตอยู่ มีสมาธิอยู่ตรงนี้อย่างน้อย 20 วินาที และปล่อยให้หัวใจของเราเปิดรับความซาบซึ้งขอบคุณในร่างกายของตัวเองที่เพิ่มขึ้นนี้
เพื่อนๆ อาจสร้างแผนการดูแลตัวเองที่ให้ในสิ่งที่เราต้องการอย่างแท้จริงเพื่อให้มีภูมิคุ้มกันในช่วงชีวิตที่ขึ้นๆ ลงๆ
สิ่งสำคัญที่สุด
การเข้าหาร่างกายของตัวเองอย่างมีสติคือการเดินทาง เช่นเดียวกับการเดินทางส่วนใหญ่จะมีเส้นทางเบี่ยงและเส้นทางขรุขระ อย่าท้อแท้เมื่อเราพยายามเปลี่ยนมุมมองร่างกายของเราจากสิ่งที่ไม่ชอบ เป็นความเมตตาซาบซึ้ง เราได้รับเงื่อนไขให้เชื่อสิ่งเลวร้ายที่สุดกับร่างกายของตัวเองมานานพอแล้ว และสิ่งเหล่าเป็นการกระทำที่กล้าหาญและมั่นใจที่จะก้าวเข้าสู่การยอมรับร่างกายของเราในแต่ละวันด้วยความสุข